เลือกแบตเตอรี่ให้เหมาะกับรถ

แบตเตอรี่รถยนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่จำเป็นต่อรถยนต์อย่างมาก ถือว่าเป็นหัวใจหลักสำคัญเลยก็ว่าได้

เนื่องจาก แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่ส่งจ่ายไปตามเครื่องยนต์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ภายในรถ หรือพูดง่ายๆเลย ก็คือ ถ้าไม่มีแบตเตอรี่รถก็วิ่งไม่ได้นั่นเองครับ เพราะพลังงานจากแบตเตอรี่ทำให้เครื่องยนต์ติดและสามารถขับเคลื่อนไปได้

ซึ่งปัจจุบันนี้ แบตเตอรี่รถยนต์ มีมากมายหลายแบบ หลายยี่ห้อด้วยกัน อาจทำให้ผู้ใช้รถบางคนสับสนว่าควรเลือกใช้ แบตเตอรี่รถยนต์ ยี่ห้อไหนดี ที่เหมาะกับรถของคุณ ฉะนั้น วันนี้ เยลโล่เซอร์วิส ของเราจะพาไปรู้จักว่า แบตเตอรี่รถยนต์ นั้น มีกี่แบบและแต่ละแบบต่างกันอย่างไร ยี่ห้อไหนดี และที่สำคัญ อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่า แบตเตอรี่รถยนต์ ของคุณเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ไปดูกันครับ

 

แบตเตอรี่รถยนต์ คือ อุปกรณ์จ่ายกระแสไฟฟ้าและจัดเก็บแหล่งพลังงานไฟฟ้าของรถยนต์ มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังอุปกรณ์ส่วนต่าง ๆ ของรถเช่น เครื่องยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง

และระบบอื่น ๆ ที่ต้องการกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงเพื่อให้ทำงานได้ เช่น ระบบจุดระเบิด มอเตอร์สตาร์ท เป็นต้น รวมไปถึงเป็นแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าสำรองที่ได้รับจากการหมุนของไดร์ชาร์จนั้นเอง ในกรณีที่แบตเตอรี่มีไฟฟ้าไม่เพียงพอก็ไม่สามารถสตาร์ทรถยนต์ให้ติดได้

ประเภทของแบตเตอรี่

1. แบตเตอรี่แบบแห้ง (Sealed Maintenance Free) หรือ SMF
แบตเตอรี่แบบแห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน หรือสังเกตง่าย ๆ คือไม่มีรูสำหรับเติมน้ำกลั่นเลย ภายในของแบตเตอรี่ตัวนี้ไม่ได้แห้งเหมือนชื่อ แต่ภายในถูกบรรจุด้วยของเหลวสำหรับทำปฏิกิริยานั้นเอง แบตเตอรี่แบบนี้มีการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟมาให้เรียบร้อยจากโรงงาน

ข้อดีของแบตเตอรี่แห้ง
- ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน สะดวก ดูแลรักษาง่าย
- ได้รับมาตรฐานเท่ากันทุกลูก เพราะได้รับการชาร์จไฟและเติมน้ำกรดจากโรงงาน
- แบตเตอรี่แบบแห้ง เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาให้ดีกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ มีค่าแอมป์และค่า CCA ที่สูง แรง สตาร์ทก็มากตาม

ข้อเสียของแบตเตอรี่แห้ง
- ราคาสูงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ
- แบตเตอรี่แบบแห้ง ไม่เหมาะกับการเก็บไว้นาน ๆ โดยไม่ใช้งาน เพราะอาจเสื่อมคุณภาพลง
- ถ้าที่ปิดผนึกด้วยซีล ไม่ใช่แบบอีเล็กโตรไลท์ ซีลของช่องหายใจหลุด อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้ เนื่องจากมีความชื้นเข้าไปข้างใน

2. แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง (Maintenance Free) หรือ MF
แบตเตอรี่ประเภทนี้จะมีความคล้ายกับแบตเตอรี่แบบแห้ง แต่จะแตกต่างกันตรงที่แบตเตอรี่แห้งนั้นจะไม่มีรูเติมน้ำกลั่นเลย แต่แบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นยังมีรูเติมอยู่ แบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นยังต้องการการดูแลอยู่แต่จะมีระยะเวลาการดูแลน้อยกว่าแบตเตอรี่น้ำ ซึ่งแบตเตอรี่กึ่งแห้งนั้นจะอยู่ที่ 1-2 ครั้งต่อปีเท่านั้น

ข้อดีของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง
- ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องหมั่นเติมน้ำ (เฉลี่ยเติม 1-2 ครั้งต่อปี)
- ราคาย่อมเยากว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง
- มีความทนทานสูง

ข้อเสียของแบตเตอรี่กึ่งแห้ง
- แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่ประเภทน้ำ
- ยังคงต้องเติมน้ำกลั่นอยู่บ้าง

3. แบตเตอรี่แบบน้ำ (Conventional Battery)
แบตเตอรี่แบบน้ำ ถือว่าเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้มาตั้งแต่ดังเดิม มีความแตกต่างจากแบบแห้งเป็นอย่างมาก มีรูสำหรับการเติมน้ำกลั่น ซึ่งแบตเตอรี่แบบน้ำนี้ต้องอาศัยการเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เพราะจะมีการสูญเสียน้ำค่อนข้างสูง ถ้าผู้ใช้งานลืมเติมน้ำกลั่นหรือปล่อยให้น้ำระเหยออกจากแบตเตอรี่หมด จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ อายุการใช้งานสั้นลง

ข้อดีของแบตเตอรี่น้ำ
- มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่รุ่นอื่น ๆ
- อายุการใช้งานนานกว่า หากดูแลและเติมน้ำกลั่นอย่างถูกต้อง อาจอยู่ได้นานกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง 3-5 เดือน

ข้อเสียของแบตเตอรี่น้ำ
- ควรหมั่นตรวจเช็คและเติมน้ำกลั่นอยู่สม่ำเสมอ
- มีค่าแอมป์และค่า CCA น้อยกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง
- แบตเตอรี่แบบน้ำนี้ ทางร้านที่จัดจำหน่าย มักเป็นผู้เติมน้ำกรดและชาร์จไฟเอง ทำให้การเติมน้ำกรดและการชาร์จไฟ บางทีไม่ได้รับมาตรฐาน

4. แบตเตอรี่แบบไฮบริด (Hybrid Battery)
แบตเตอรี่แบบไฮบริดเป็นลูกผสมของแบตเตอรี่แบบกึ่งแห้งและน้ำ มีค่าแรง CCA สูง มักมีขนาดใหญ่กว่าแบตเตอรี่ประเภทอื่น อาศัยการเติมน้ำกลั่นประมาณ 6-9 เดือนต่อครั้ง

ข้อดีของแบตเตอรี่ไฮบริด
- ราคาถูกกว่าแบตเตอรี่แบบแห้ง
- มีค่าแรง CCA สูงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ

ข้อเสียของแบตเตอรี่ไฮบริด
- ราคาแพงกว่าแบตเตอรี่แบบน้ำ
- ยังต้องตรวจเช็คและเติมน้ำกลั่น

ควรเลือกแบตเตอรี่ให้เหมาะกับรถยนต์อย่างไร ?

1. ควรเลือกแบตเตอรี่ที่ได้รับมาตรฐานหรือเป็นยี่ห้อที่มีชื่อเสียง
2. ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกแบตเตอรี่ที่เพิ่งผลิต เพราะบางทีการใช้แบตเตอรี่ที่ค้าง Stock อาจทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานลดน้อยลงและเสื่อมสภาพไวกว่าปกติ
3. ควรซื้อแบตเตอรี่ให้เหมือนกับของเดิมที่ติดมากับรถยนต์ เช่น ขนาดของแบตเตอรี่ แอมแปร์ต้องเท่ากันหรือมากกว่าที่เคยติดมากับตัวรถ

สัญญาณเตือน แบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ !!

แบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไปปกติแล้วจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการใช้งาน แต่อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่สามารถเสื่อมสภาพได้จากหลายสาเหตุเช่นกัน โดยเราสามารถสังเกตอาการแบตเตอรี่เสื่อมได้จากอาการ ดังนี้

1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดช้าหรือติดยากขึ้น
2. แสงไฟหน้ารถยนต์สว่างน้อยลง
3. กระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปกติ
5. ใช้แบตเตอรี่มานานเกิน 2 ปี

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่หมด !!

1. แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน ปกติแล้วอายุของแบตเตอรี่จะใช้ได้ประมาณ 3-5 ปี ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานและสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย
2. ไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ ทำให้ประจุไฟฟ้าที่จะเข้าไปยังแบตเตอรี่เข้าได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

5 ยี่ห้อแบตเตอรี่รถยนต์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

1. ยี่ห้อ GS Battery เป็นผู้ผลิตและนำเข้าจัดจำหน่ายแบตเตอรี่เจ้าใหญ่รายแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการรองรับมาตรฐานจาก ISO 9002/QS9000/ISO 14001 และ ISO/TS 16949 และยังมีนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ได้รับมาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งมีแบตเตอรี่ให้เลือกหลายรูปแบบ
2. ยี่ห้อ Bosch เป็นแบตเตอรี่จากประเทศเยอรมัน มีราคาแพง สามารถใช้กับรถยนต์ที่ใช้งานหนัก ๆ ได้โดยกระแสไฟเสถียรไม่ตกและยังเก็บไฟได้นานโดยไม่ต้องคอยสตาร์ท อีกทั้งยังมีการพัฒนาคุณภาพแบตเตอรี่อยู่เรื่อย ๆ มีสโลแกนเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อม
3. ยี่ห้อ 3k ยี่ห้อนี้เป็นที่คุ้นหูคนไทยอยู่แล้ว มีหลากหลายประเภทให้เลือก หาซื้อง่าย คุ้มค่าคุ้มราคา มีความปลอดภัยและได้รับมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดได้รับการวิจัยและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีสากล
4. ยี่ห้อ Panasonic แบตเตอรี่ยี่ห้อนี่มีราคาประหยัด ทนทาน มีประสิทธิภาพในการเก็บและจ่ายไฟได้เต็ม 100% อีกทั้งยังได้รับมาตรฐานตามสากลมากมาย
5. ยี่ห้อ Amaron แบตเตอรี่น้องใหม่จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กล้ารับประกันอายุการใช้งานถึง 24 เดือนและมีให้เลือกหลายประเภทด้วยกัน

ทีนี้ผู้ใช้รถหลายๆท่านก็คงได้ทราบแล้วว่า แบตเตอรี่รถยนต์ มีหลากหลายแบบให้เลือกซื้อ แต่ละแบบต่างก็ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้รถแต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่แห้ง, แบตเตอรี่กึ่งแห้ง, แบตเตอรี่น้ำ และแบตเตอรี่ไฮบริด ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน

เพราะฉะนั้น ผู้ใช้รถควรศึกษารายละเอียดแบตเตอรี่ว่ายี่ห้อไหนดีที่สุด และควรเลือกแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับตัวรถของคุณ เพื่อการใช้งานที่ปลอดภัยและไม่เสื่อมสภาพไว หากท่านใดยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องแบตเตอรี่รถยนต์ หรือต้องการตรวจเช็คแบตเตอรี่รถของท่าน ก็สามารถติดต่อเข้ามาสอบถามได้ที่ช่องทางการติดต่อต่างๆของเรา หรือสามารถเข้ามาใช้บริการที่ เยลโล่เซอร์วิส ได้ทุกสาขาครับ

รู้เรื่องรถ

Visitors: 66,842