ท่อไอเสีย เลือกยังไงให้เหมาะกับรถของคุณ

ในยุคปัจจุบันนี้ปริมาณการใช้รถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ใช้รถหลายๆ คนที่ต้องการจะเพิ่มสมรรถนะของรถยนต์ และต้องการปรับแต่งชิ้นส่วนต่างๆ ก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่ง ท่อไอเสีย ก็ถือเป็นอุปกรณ์เสริมสมรรถนะอีกอย่างหนึ่งที่มักจะเป็นคำตอบแรกของคนที่รักในการแต่งรถ ชอบนำรถไปเปลี่ยนกันที่ร้านท่อไอเสีย บางคนชอบแต่งท่อแบบเสียงดังๆ บางคนก็ชอบแบบให้มีเสียงท่อทุ้มๆแผ่วๆ

แต่ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตามครับ ทุกอย่างมันมีจุดที่เหมาะสมของมัน ไม่ใช่ว่าจะเอาท่ออะไร หรือไซส์ไหนมาเปลี่ยนก็ได้นะครับ ถ้าคุณทำถูกวิธีก็จะได้ทั้งแรงม้า และแรงบิดที่เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่หากทำผิดวิธีหรือผิดสูตร ก็จะทำให้ได้สมรรถนะที่แย่ลง หนำซ้ำยังให้ผลเสียต่อเครื่องยนต์อีกต่างหาก วันนี้เราจึงมาแนะนำในเรื่องของการปรับเปลี่ยนท่อไอเสีย ว่าจะเปลี่ยนอย่างไรไม่ให้สูญเสียอัตราเร่งไปครับ

 

หลักการทำงานของท่อไอเสีย

ท่อไอเสีย มีหน้าที่หลักคือ เป็นทางเดินเพื่อระบายไอเสียออกจากเครื่องยนต์ ลดเสียงระเบิดให้น้อยลง และช่วยกรองมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ให้ออกมาสู่อากาศให้น้อยลงเมื่อผ่าน แคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ สำหรับไอเสียที่ออกมาจากเครื่องยนต์นั้นคือสิ่งที่เหลือจากการจุดระเบิดและเผาไหม้ ประกอบไปด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ฟอสฟอรัส และโลหะหนักต่างๆ เช่น ตะกั่วและโมลิบดีนัม โดยสารประกอบเหล่านี้จะรวมออกมาในรูปแบบก๊าซ ที่พุ่งออกมาด้วยแรงอัดจากกระบอกสูบ ผ่านท่อรวมไอเสีย พักกลาง พักปลาย ซึ่งท่อรวมไอเสีย มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

ท่อรวมไอเสียแบบธรรมดา มักทำมาจากเหล็กที่หล่อขึ้นรูป เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำ แต่ระบายไอเสียได้ไม่คล่องเท่าไรนัก ดังนั้นเครื่องยนต์จึงทำงานหนักขึ้นเพื่อผลักไอเสียให้ผ่านท่อลักษณะนี้ จึงส่งผลให้เครื่องยนต์กำลังตกลง

ท่อรวมไอเสียแบบเฮดเดอร์ ( Header) คือท่อไอเสียที่ทำจากท่อแยกแต่ละสูบและสามารถดัดโค้งให้ยาวขึ้นทำให้การระบายไอเสียจากเครื่องยนต์ทำได้ดีกว่า รถยนต์จึงมีกำลังมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ท่อรวมไอเสียที่มาจากโรงงานส่วนใหญ่จะเป็นท่อไอเสียรวมแบบธรรมดา และรวมไปถึงอีก 2 ส่วนที่สำคัญ คือ หม้อพักกลาง และหม้อพักท้าย

 

หม้อพักกลาง ก็คือปราการด่านที่สอง ส่วนใหญ่จะเป็นไส้ตรงหรือตรงเกลียว จะทำหน้าที่ช่วยดูดซับเสียงจากท่อรวมไอเสีย และหม้อพักท้าย ให้เงียบลงและไม่สะท้อนเข้าห้องโดยสาร

หม้อพักท้าย ถือเป็นด่านสุดท้าย ส่วนใหญ่จะติดกับปลายท่อโชว์อยู่ด้านท้ายรถ มีหน้าที่ซัพเสียงไม่ต่างจากหม้อพักกลาง แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือการวางไส้ ในลักษณะที่ต่างกัน เพื่อสร้างแรงอั้นให้เหมาะสมกับขนาดเครื่องยนต์และชนิดของเกียร์ คุณสมบัติหม้อพักท้ายลักษณะต่าง ๆ มีดังนี้

ประเภทของหม้อพัก

1. หม้อพักไส้ย้อน ส่วนใหญ่ท่อเดิม ๆ จากโรงงานจะเป็นท่อประเภทนี้ ให้ความเงียบเป็นเลิศ ใช้ได้ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโตเมติก แต่เหมาะกับเกียร์ออโตเมติกที่สุดเพราะมีแรงอั้นสูงส่งผลให้พละกำลังการออกตัวและรอบต้นดีอย่างที่เรียกกันว่าต้นจัด แต่จะไม่เหมาะกับเครื่องที่มีระบบอัดอากาศ (เทอร์โบ)
2. หม้อพักไส้เยื้อง จะมีความโล่งมากกว่า หม้อพักไส้ย้อน ใช้ได้ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโตเมติก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อโล่งมากขึ้นแรงอั้นก็ลดลงตามไปด้วยจึงอาจส่งผลให้ กำลังตกในรอบต้นแต่จะได้การไหลในรอบปลายมาแทน
3. หม้อพักไส้ตรง มีความโล่งที่สุดในบรรดาหม้อพักทั้งหมด ไม่เหมาะกับรถเกียร์ออโต้เมติก เพราะไม่มีแรงอั้นถ้าเผลอไปใส่เข้าพละกำลังยามออกแทบไม่มีเลยทีเดียว แต่หม้อพักประเภทนี้จะเหมาะสำหรับรถที่มีระบบอัดอากาศ (เทอร์โบ) และเกียร์ธรรมดา

วัสดุที่ใช้ในการผลิตท่อไอเสีย

ท่อไอเสียรถยนต์ได้รับการผลิตจากวัสดุ 2 ชนิด คือ เหล็ก และอลูมิเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน โดยอลูมิเนียมจะมีความทนทาน ไม่เป็นสนิม และผลพลอยได้จากการติดตั้งท่อไอเสียที่ผลิตมาจากอลูมิเนียม นั้นยังทำให้เสียงของเครื่องยนต์กังวาน และไพเราะกว่าเดิม ผิดกับท่อไอเสียที่ผลิตมาจากเหล็ก ซึ่งมีโอกาสเป็นสนิม และอายุการใช้งานก็น้อยกว่าท่อไอเสียแบบอลูมิเนียม

ท่อแต่งรถยนต์

เปลี่ยนท่อไอเสียอย่างไร ไม่ให้สูญเสียอัตราเร่ง

รถแต่ละยี่ห้อรุ่นที่มีซีซีแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นขนาดของท่อไอเสียก็จะมีความแตกต่างกันด้วยขึ้นอยู่กับการออกแบบของแต่ละค่าย ถ้าท่านไหนใครอยากจะปรับเปลี่ยนชุดท่อไอเสียควรจะอิงพื้นฐานเดิมเอาไว้จะเป็นเรื่องดีมากครับ เพราะเขาคำนวณมาแล้ว แต่ถ้าคิดจะเปลี่ยนก็ไม่ควรให้ท่อไอเสียมีความแตกต่างจากเดิมเกิน 0.5 นิ้ว

ยกตัวอย่างเช่น ท่อไอเสียเดิมติดรถมีขนาด 1.5 นิ้ว ถ้าจะปรับเปลี่ยนก็ไม่ควรจะเกิน 2.0 นิ้ว เพราะถ้าเราเปลี่ยนให้มีขนาดที่ใหญ่เกินไปอาจจะส่งผลให้รถมีกำลังอัดที่ลดลงจะทำให้รถวิ่งไม่ออก อัตราเร่งแย่กว่าเดิมได้

ตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์ 1200 ซีซี ไปใช้ท่อขนาด 3.0 นิ้ว มันคงจะไม่มีกำลังขับเคลื่อนอย่างแน่นอนเพราะมันโล่งเกินไป ส่วนเครื่องยนต์ 3000 ซีซี ไปใช้ท่อขนาด 1.5 นิ้ว ก็คงระบายไอเสียไม่ทันมันอั้นเกินไปส่งผลระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด

วิธีสังเกตอาการท่อไอเสีย ที่อาจกำลังมีปัญหา

1. สังเกตได้จากคันเร่ง
ใครที่เป็นคนขับรถเองอยู่ประจำจะต้องรู้สึกได้เลยว่า ตอนที่เหยียบคันเร่งเกิดอาการสั่นของรถที่มากจนผิดปกติให้สันนิษฐานได้เลยว่า บางส่วนของท่อไอเสียได้เกิดปัญหาขึ้นแล้วอย่างแน่นอน และยิ่งได้ยินเสียงก้องในตอนที่สตาร์ท แสดงว่าอาจมีรอยรั่วที่ใหญ่มากจนได้ยินเข้ามาถึงในห้องเครื่อง ซึ่งจะต้องรีบนำรถเข้าศูนย์หรือแจ้งให้ช่างดูให้อย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นนั่นเอง

2. ดูจากเสียง
ทุกครั้งที่มีการสตาร์ทเครื่องจะต้องสังเกตเสียงของท่อไอเสียด้วยว่าเสียงเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยขนาดไหน หากปกติเสียงเป็นอย่างไรและอยู่ๆ เสียงเปลี่ยนไป นั่นเป็นสัญญาณแรกที่พบได้เลยว่าท่อไอเสียของรถคันนั้นจะต้องมีอาการผิดปกติอย่างแน่นอน และยิ่งหากมีเสียงที่ดังกว่าปกติมากนั่นแสดงว่า ท่อไอเสียของรถคันนั้นอาจจะหลุดหรือแตกหักในจุดที่มองไม่เห็นก็ได้ ดังนั้น หากพบความผิดปกติดังกล่าวนี้จะต้องนำรถเข้าไปให้ช่างดูในทันที ดีกว่าไปเกิดการเสียหายขึ้นกลางทาง

3. สังเกตได้จากการขับ
หากรถที่เคยวิ่งได้ดีปกติ อยู่ๆ ก็วิ่งอืดเร่งเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น หรือมีการกินน้ำมันมากกว่าปกติทั้งที่ใช้ความเร็วเท่าเดิมและระยะทางเดิมๆ ให้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้คร่าวๆเลยว่าน่าจะเกิดปัญหาที่ท่อไอเสียรถยนต์แล้ว ซึ่งทำให้เครื่องยนต์ของรถยนต์นั้นทำงานหนักมากกว่าที่ควรจะเป็นได้

4. สังเกตได้จากการที่มีกลิ่นเข้าห้องเครื่อง
ในขณะที่กำลังขับรถแล้วได้กลิ่นควันจากท่อไอเสียเข้าไปในห้องผู้โดยสาร แสดงว่าต้องเกิดการผิดปกติของห้องเครื่องอย่างแน่นอน ซึ่งหากยังคงขับขี่ต่อไปโดยไม่รีบทำการตรวจสอบให้เรียบร้อย ก็จะเป็นอันตรายได้มากทีเดียว เพราะก๊าซคาร์บอนบอลนอกไซด์จากท่อไอเสียที่เข้าไปในห้องเครื่องนั้นจะทำให้เกิดอาการมึนหัว หรืออยู่ๆ อาจวูบไปจนทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อได้กลิ่นเหมือนท่อไอเสียเข้าในตัวรถจะต้องทำการจอดและเช็คสภาพรถโดยด่วน

5. สังเกตง่ายๆ ด้วยการมอง
หากเป็นช่วงที่รถจะต้องวิ่งผ่านสถานที่ที่มีการท่วมของน้ำบ่อยๆ สิ่งที่เจ้าของรถควรจะต้องทำคือใช้แม่แรงยกรถแล้วมองด้วยตาเปล่าว่าท่อไอเสียเกิดอาการชำรุดหรือไม่ การชำรุดของท่อไอเสียที่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าก็คือรอยสนิมรอยผุหรือรอยแตก เมื่อสตาร์ทรถแล้วเห็นควันออกจากท่อไอเสียโดยที่ไม่ได้ออกทางปลายจะมีการซึมออกมาตามตรงกลางท่อ เมื่อเห็นดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือต้องจัดการนำรถไปเปลี่ยนท่อไอเสียหรือให้ช่างจัดการทำท่อไอเสียให้ดีกว่าเดิม มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับการขับขี่ทั้งตัวผู้ขับขี่และรถคันอื่นได้

หลายคนคิดว่าขนาดของท่อไอเสียนั้น ถ้ายิ่งมีขนาดใหญ่จะทำให้รถแรงและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นนั้นไม่ถูกต้อง เพราะขนาดของท่อไอเสียต้องมีความสัมพันธ์กับความต้องการของเครื่องยนต์ หากทำถูกสูตรตามขนาดของเครื่องยนต์ และใช้วัสดุมีคุณภาพ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นด้วย รวมถึงเรื่องของการประหยัดน้ำมัน เพราะเป็นการคายไอเสียที่ไหลลื่น ถ้านำขนาดที่ไม่เหมาะสมมาติดตั้ง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็จะส่งผลต่อระบบคายไอเสียของเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นความละเอียดในขั้นตอนการเลือกใช้ท่อไอเสียนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ

Visitors: 66,804